สาหร่ายทะเล คำตอบของ L’Oréal สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 

จากชายฝั่งตอนใต้ของอินโดนีเซีย แอฟริกา อเมริกาใต้ และแคนาดา เหล่าเกษตรกรต่างออกเรือมุ่งหน้าไปเพื่อหาพืชชนิดเดียวกันนี้ สาหร่ายทะเล เมล็ดพันธุ์ของมันถูกเก็บเกี่ยวและทำให้แห้งบนบก จากนั้นผ่านกระบวนการผลิตเพื่อสกัดคาร์ราจีแนน โครงสร้างที่มีโมเลกุลขนาดจิ๋วที่ช่วยปรับเนื้อสัมผัสให้กับผลิตภัณฑ์มากมายหลายชนิด

ด้วยการมีโปรตีนที่สร้างพันธะได้ดีกับโปรตีนในอาหาร คาร์ราจีแนนจึงถูกใช้ในอุตสาหกรรมอาหารบ่อยที่สุด เพื่อสร้างมวลและความรู้สึกที่ดีเมื่ออยู่ในปากให้กับขนม และยังให้เนื้อสัมผัสที่เสถียรแก่เนื้อและชีสอีกด้วย

แต่สิ่งที่อาจไม่ค่อยมีใครคาดคิดคือบทบาทของสาหร่ายทะเลในแวดวงความงาม ส่วนผสมที่ยั่งยืนจากธรรมชาตินี้ เป็นคำตอบที่น่าสนใจสำหรับลูกค้าเครื่องสำอาง ซึ่งนิยมผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมและมีจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อม

ระหว่างปี 2005 ถึงปี 2010 การศึกษาต่างๆ ได้แสดงให้เห็นว่าตลาดการดูแลส่วนบุคคลเติบโตขึ้นเกือบร้อยละ 5 ในแต่ละปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่มีแต่จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น ในเวลาเดียวกัน ความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนได้เพิ่มสูงขึ้น จุดประกายให้แบรนด์ความงามต่างๆ รวบรวมเอาเทคโนโลยีทางชีวภาพใหม่ๆ เข้าไว้ด้วยกัน (เช่น คาร์ราจีแนน) ซึ่งเคยใช้เฉพาะในศาสตร์ด้านอาหารเท่านั้น

“อุตสาหกรรมอาหารได้พัฒนาเทคโนโลยีและส่วนผสมที่น่าสนใจขึ้นมากมาย ซึ่งให้เนื้อสัมผัสและรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป” โลรอง กิลแบรต์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยขั้นสูงและการพัฒนาระหว่างประเทศที่ L’Oréal ผู้นำโลกด้านความงาม “สำหรับเรานั้น การทำงานกับบริษัทอาหารเป็นข้อดีอย่างชัดเจน”

L’Oréal เป็นเจ้าของแบรนด์ความงามมากมายที่มียอดขาย 23 พันล้านยูโรใน 130 ประเทศ พวกเขามีชื่อเสียงจากการวิจัยที่กว้างขวางและความพยายามในด้านการพัฒนา ซึ่งเปิดทางให้ผลิตภัณฑ์ที่ใหม่ที่สุดบางตัวขึ้นสู่ชั้นวางสินค้าในร้านได้ กว่าหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา การแสวงหาส่วนผสมที่ยั่งยืนของบริษัทได้นำพวกเขามาที่คาร์กิลล์ ความร่วมมือกันระหว่างบริษัทที่มีแนวคิดแบบเดียวกันนั้นช่างพอเหมาะพอดี และในวันนี้ คาร์กิลล์ยังคงส่งมอบคาร์ราจีแนนหลากหลายชนิดจากสาหร่ายทะเลธรรมชาติให้แก่ L’Oréal อย่างต่อเนื่อง

“เราเชื่อว่าการพัฒนาอย่างยั่งยืนคือกุญแจสำคัญสู่อนาคต”
— โลรอง กิลแบรต์, L’Oréal

คาร์กิลล์ได้ทำการศึกษาค้นคว้าต่างๆ และได้รับสิทธิบัตรซึ่งแสดงให้เห็นว่าคาร์ราจีแนนนั้นสามารถแทนที่โพลีเมอร์สังเคราะห์บางชนิดในสูตรผสมเฉพาะได้ดีกว่า เช่น ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ในปี 2010 L’Oréal ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมที่ใช้คาร์ราจีแนนสกัดจากสาหร่ายทะเลธรรมชาติจากคาร์กิลล์ ซึ่งช่วยให้เนื้อครีมมีเนื้อสัมผัสที่ดียิ่งขึ้น

L’Oréal บริษัทเครื่องสำอางอันดับหนึ่งของโลก วางแผนที่จะดำรงความร่วมมือ 10 ปีกับคาร์กิลล์ต่อไปเพื่อคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนให้มากขึ้น.

L’Oréal บริษัทเครื่องสำอางอันดับหนึ่งของโลก วางแผนที่จะดำรงความร่วมมือ 10 ปีกับคาร์กิลล์ต่อไปเพื่อคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนให้มากขึ้น

ความสำเร็จครั้งนี้เป็นหลักประกันให้กับความร่วมมือกันในอนาคตเช่นกัน “เราได้ทำสัญญากับคาร์กิลล์มาเป็นเวลามากกว่า 10 ปี แต่ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้นในช่วงห้าปีที่ผ่านมา” กิลแบรต์กล่าว “นอกเหนือจากประสิทธิภาพชั้นเลิศแล้ว เราต้องการความต่อเนื่องในสัมพันธภาพด้วย เราจำเป็นต้องสร้างในระยะยาวเนื่องจากการคิดค้นผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลเป็นโครงการระยะยาว”

ตลอดช่วงระยะเวลาสองสามปีที่ผ่านมา สาหร่ายทะเลธรรมชาติต้องประสบกับปัญหาด้านคุณภาพและการมีอยู่อย่างจำกัด เพื่อที่จะประกันการจัดส่งสินค้าให้กับ L’Oréal ได้อย่างยั่งยืน คาร์กิลล์กำลังสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่เปลี่ยนความพยายามจากการทำฟาร์มสาหร่ายทะเลธรรมชาติเป็นการทำฟาร์มสาหร่ายทะเลเลี้ยง ภายในปลายปี 2015 คาร์กิลล์ตั้งใจที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงเสร็จสมบูรณ์สำหรับแบรนด์ Garnier® ของลอรีอัล.

 

 

ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว Garnier® PureActive ของ L’Oréal มีส่วนประกอบเป็นสารสกัดจากสาหร่ายที่ได้รับการจัดส่งให้อย่างยั่งยืนจากคาร์กิลล์

ขณะที่แบรนด์จำนวนมากขึ้นเพิ่มการใช้ส่วนผสมที่ยั่งยืน คาร์กิลล์ยังคงปรับปรุงวิธีในการเก็บเกี่ยวสาหร่ายทะเลอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากฟาร์มเพาะเลี้ยงและจากธรรมชาติ “ความต้องการผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลที่ได้จากธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนโฉมทางสังคมในระดับที่ใหญ่ขึ้น” มารี-ลอเร รูมิกิเยร์ ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลและยาที่คาร์กิลล์อธิบาย “เรากำลังทำงานอย่างต่อเนื่องกับผู้ผลิต เพื่อแทนที่โพลีเมอร์สังเคราะห์ด้วยโพลีเมอร์ธรรมชาติ”

เนื่องจากสาหร่ายทะเลที่ขึ้นในสภาวะแวดล้อมที่แตกต่างกันจะมีคุณสมบัติต่างๆ ที่แตกต่างกัน คาร์กิลล์จึงพยายามจัดหาสาหร่ายหลากหลายสายพันธุ์และจากแหล่งเก็บเกี่ยวหลากหลายแห่ง กลยุทธ์ดังกล่าวไม่เพียงประกันถึงความสามารถในการสร้างเนื้อสัมผัสที่หลากหลายมากขึ้น แต่ยังเป็นการรับประกันการเติบโตของตลาดในขณะที่ความต้องการของลูกค้าเพิ่มสูงขึ้นด้วย ด้วยการที่มีเกษตรจำนวนมากขึ้นทำงานในสถานที่ใกล้ทะเลมากขึ้น บริษัทจึงสามารถจัดหาทรัพยากร วัตถุดิบ พัฒนา และส่งมอบผลิตภัณฑ์จากสาหร่ายทะเลไปยังลูกค้าทั่วโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น