สร้างโอกาสต่าง ๆ ในประเทศไทยเพื่อพัฒนาอนาคตที่ยั่งยืน
จากซ้าย: รองศาสตราจารย์ ดร.อนันต์ ทองระอา อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี; นายสุเกียรติ กิตติธรรมโชติ ผู้อำนวยการฝ่ายภาพลักษณ์และองค์กรสัมพันธ์ คาร์กิลล์ ประเทศไทย; ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธนัฎฐ์ตฤณ บุนนาค รักษาการแทนรองอธิการบดีฝ่ายวิทยาเขตสระแก้ว มหาวิทยาลัยบูรพา
ประเทศไทยมีปริมาณมลพิษ (Pollution Footprint) มหาศาล ซึ่งเป็นปัญหาที่เด่นชัดในระบบนิเวศ โดยเฉพาะเรื่องของการใช้น้ำ ยังมีขยะที่ไม่ผ่านการบำบัดในปริมาณมาก ส่วนใหญ่มาจากการเกษตรและอุตสาหกรรม ซึ่งตอกย้ำความเปราะบางของประเทศต่อภัยแล้ง.
อากาศในประเทศไทยก็มีมลพิษมากเช่นเดียวกัน เนื่องมาจากการปล่อยมลพิษในระดับที่สูงจากกลุ่มอุตสาหกรรมและยานพาหนะ รวมไปถึงการเผาในพื้นที่การเกษตร ในขณะที่แนวปฏิบัติทางการทำไร่เลื่อนลอยบนภาคพื้นดิน การตัดไม้ทำลายป่าเพื่อการเกษตร ส่งผลให้ผืนป่าอันเขียวชอุ่มของประเทศไทยหาย ไปในอัตรารวดเร็วที่ 140,000 เฮกตาร์ต่อปี.
ดิน น้ำ และอากาศนั้น มีความเชื่อมโยงถึงกันผ่านการทำเกษตรกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่คาร์กิลล์ให้ความสำคัญในงานด้านความยั่งยืนระ ดับภูมิภาค
เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำและสภาพภัยแล้ง โครงการ “เกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming)” ของคาร์กิลล์กำลังระบายน้ำที่ผ่านการบำบัดจากโรงงานแปรรูป ผลิตภัณฑ์โปรตีนในอำเภอโชคชัย สู่นาข้าวในจังหวัดนครราชสีมา โรงงานแห่งนี้เป็นหนึ่งในรายชื่อโรงงานเป้าหมายของคาร์กิลล์ที่มุ่ งเน้นการบริหารจัดการน้ำและแหล่งต้นน้ำที่มีความสำคัญ โดยจะปล่อยน้ำที่อุดมไปด้วยไนเตรต ซึ่งเป็นธาตุอาหารที่จำเป็นต่อความอุดมสมบูรณ์ของดิน ด้วยการเชื่อมโยงอย่างมีกลยุทธ์กับความต้องการด้านการชลประทานทางการเกษตร โครงการริเริ่มนี้ช่วยให้เกษตรกรลดปริมาณการใช้ปุ๋ยและน้ำได้
เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการเกษตรอัจฉริยะสามารถเข้าร่วมหลักสูตรเพื่อเรียนรู้วิธีการใช้น้ำอย่างประหยัดในการทำฟาร์มที่จัดโดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอิสระภายใต้การดูแลของรัฐบาลไทย และมหาวิทยาลัยบูรพา ซึ่งเป็นศูนย์กลางการวิจัยและนวัตกรรมที่สำคัญ ทั้งนี้ เกษตรกรยังได้เรียนรู้วิธีการใช้โดรนเพื่อให้ปุ๋ยในนาของตน เพื่อช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุนการใช้ปุ๋ย และปกป้องแหล่งน้ำ
โครงการเกษตรอัจฉริยะซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างคาร์กิลล์ มหาวิทยาลัยบูรพา และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในชุมชนและสนับสนุนการพัฒนาประเทศ
การฝึกอบรมทำให้เกษตรกรสามารถเพิ่มผลผลิตข้าวผ่านหลักสูตรสำหรับเกษตรกร ซึ่งครอบคลุมทั้งพันธุ์ข้าว การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี การปลูกข้าวอินทรีย์ การจัดการดิน น้ำ และปุ๋ย การป้องกันและกำจัดโรค และการผลิตเมล็ดข้าว ทำให้ความรู้ของเกษตรกรเพิ่มขึ้นจาก 51% เป็น 82% จากการประเมินตามแบบสอบถามของคาร์กิลล์
การปลดล็อกผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมของพลังงานหมุนเวียนเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญของความมุ่งมั่นด้านสภาพภูมิอากาศของคาร์กิลล์ โดยมีการนำหนึ่งในทรัพยากรที่ประเทศไทยมีเป็นจำนวนมากอย่างแสงแดดมาทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด จนถึงปัจจุบัน คาร์กิลล์ได้ติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์บนชั้นดาดฟ้าของอาคารจำนวน 12 แห่งทั่วประเทศไทย และมีกำลังการผลิตรวมกว่า 5.4 เมกะวัตต์สูงสุด (MWp) ภายในปีงบประมาณ 2568 คาร์กิลล์ตั้งเป้าที่จะบรรลุกำลังการผลิตจากพลังงานแสงอาทิตย์รวม 19.3 เมกะวัตต์สูงสุด ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 10,700 เมตริกตันของคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี หรือเทียบเท่ากับปริมาณไฟฟ้าที่ต้องใช้ในการจ่ายไฟบ้านมากกว่า 2,000 หลังต่อปี
โครงการนี้ตอกย้ำเป้าหมายของคาร์กิลล์ในการสานต่อโครงการพลังงานหมุนเวียนในการดำเนินงานทั่วโลก และสนับสนุนความมุ่งมั่นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยสมบูรณ์ลง 10% ภายในปี พ.ศ. 2568 โดยวัดจากค่าพื้นฐานปี พ.ศ. 2560
นายธิติ ตวงสิทธิตานนท์ ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย กลุ่มธุรกิจคาร์กิลล์โปรตีน เอเชียและยุโรป กล่าวว่า “คาร์กิลล์มุ่งมั่นที่จะบรรเทาปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบต่อระบบอาหารทั่วโลก วิธีหนึ่งที่เรากำลังดำเนินการคือการลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียน ซึ่งรวมถึงโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ การใช้พลังงานหมุนเวียนจะช่วยให้เราเติบโตขึ้นในตลาดที่มีการแข่งขันสูงและช่วยให้เราพัฒนาห่วงโซ่อุปทานเพื่อให้บริการลูกค้าอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขณะที่ดำเนินการตามความมุ่งมั่นด้านสภาพภูมิอากาศของเรา”
คาร์กิลล์กำลังทำงานเพื่อเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานทางการเกษตรของไทยให้ปราศจากการตัดไม้ทำลายป่าด้วยโครงการ “ไม่เผา เราซื้อ (No Burn, We Buy)” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าคาร์กิลล์มุ่งมั่นจัดหาวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ซึ่งไม่ได้มาจากการตัดไม้ทำลายป่า
ในการริเริ่มโครงการนี้ คาร์กิลล์ทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐบาลไทยในการสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดในท้องถิ่นให้ปลูกพืชอย่างมีความรับผิดชอบ ส่งเสริมความโปร่งใสและการตรวจสอบย้อนหลังได้ภายในห่วงโซ่อุปทานอาหาร พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้วยการผลิตที่มีความรับผิดชอบ การรณรงค์ซึ่งเริ่มขึ้นในจังหวัดลพบุรี ช่วยให้เกษตรกรนำการจัดการเศษพืชอย่างยั่งยืนมาใช้แทนเกษตรกรรมแบบแผ้วถางและเผา โครงการนี้ยังได้ขยายไปยังจังหวัดเกษตรกรรมที่สำคัญอื่น ๆ ของไทย อาทิ จังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดเพชรบูรณ์
โครงการไม่เผา เราซื้อ ริเริ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนความมุ่งมั่นของคาร์กิลล์ในการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานทางการเกษตรของเราให้ปราศจากการตัดไม้ทำลายป่าและการแปลงที่ดินภายในปี พ.ศ. 2573 เราเชื่อว่าการรณรงค์นี้จะนำไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังสมเหตุสมผลทางธุรกิจมากขึ้นด้วย